พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ เปิดตัวเลขรายได้-กำไร10บริษัทอสังหาฯปี66 "แสนสิริ"รั้งแชมป์กำไรมากที่สุด6พันล้าน "เอพี"อันดับสองทั้งรายได้และกำไร ขณะที่"ศุภาลัย" เป็นอันดับ3รายได้3.1หมื่นล้าน
สุรเชษฐ์ กองชีพ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ กล่าวว่า ในปี 2566 ถือเป็นปีที่ท้าทายจากผลกระทบของโควิดที่ผ่านมาส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย ทั้งบ้านหรือคอนโดมิเนียม"ชะลอ" การตัดสินใจซื้อ ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินต่างๆเป็นความท้าทายของตลาดธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในการการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา
ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนในโครงการบ้านจัดสรร รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น เมื่อผลประกอบการออกมามีผู้ประกอบการบางรายที่มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี2565 โดยในปี2566 แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรมากที่สุดอยู่ที่ 6,060 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 42% อันดับสอง เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้และกำไรเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้ 38,399 ล้านบาทลดลงจากปี2565 ประมาณ 1% อันดับสามศุภาลัย มีกำไรและรายได้ปี2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาทลดลง 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาทลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
3. ศุภาลัย มีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 โดยรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาท ลดลงประมาณ 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาท ลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
หลายบริษัทมีรายได้มากขึ้นและเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้มากมายนักเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการบางรายที่มีทั้งรายได้และกำไรอันดับต้นๆ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน คือ กำไรที่ลดลงซึ่งอาจจะเกิดจาการที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการหรือกิจกรรมทางการขายที่มากขึ้น รวมไปถึงการลดราคาหรือยอมขาดทุนกำไรบ้างเพื่อที่จะได้ปิดการขายได้ จึงอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กำไรของผู้ประกอบการบางรายลดลง
แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้และกำไรอยู่ไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา ผู้ปีระกอบการบางรายอย่าง คิวเฮ้าส์อาจจะมีกำไรมาก แต่รายได้น้อยมาก เพราะมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ แม้ว่าพวกเขาจะเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ 5 อันดับแรก
ซึ่งผลประกอบการด้านบนนี้ ยังไม่ได้รวมแลนด์แอนด์เฮ้าส์ที่หลายปีที่ผ่านมาเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ค่อนข้างมาก ดังนั้น เป็นไปได้ที่รายได้ และกำไรในปี2566 อาจจะมากกว่าผู้ประกอบการหลายรายในตลาด
รายได้และกำไรที่ลดลงของผู้ประกอบการบางรายในปี2566 ยังคงมีช่องทางในการพลิกกลับมาในปี2567 เพราะผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศแผนการเปิดขายโครงการใหม่ออกมาแล้ว โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมีการเปิดขายโครงการมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี2566 และปัจจัยลบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในปี2566
อีกทั้งมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงมีต่อในปี2567 ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ประกอบการบางรายที่มีโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี2567
อีกทั้งกำลังซื้อต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ทั้งคนจีน รัสเซีย และพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เพียงแต่ปัญหาใหญ่ยังคงอยู่ที่เรื่องของการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีความเข้มงวดมาก และกระทบกับกลุ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นมาถึงระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต
ผู้ประกอบการหลายรายจึงพยายามเปิดขายโครงการใหม่ที่เลี่ยงกลุ่มระดับราคานี้ในปี2567 และพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาแพงซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาในการขอสินเชื่อธนาคาร ซึ่งผู้ประกอบการบางราย เช่น แสนสิริ และเอสซี แอสเสท รวมไปถึงแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำได้ดีมาโดยตลอด
ที่มา:https://www.bangkokbiznews.com/property/1115489
ที่ 29/2/2024