ความร้อนแรงของนิคมอุตสาหกรรมจากการย้ายฐานผลิตของต่างชาติมายังไทยเพื่อลดความเสี่ยงกลายเป็น ‘โอกาส’ของตลาดคอนโดในนิคมฯ ล่าสุด แอล.พี.เอ็น. เปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์แบรนด์' เอิร์น'มูลค่า 2,124 ล้านรองรับแรงงานแฝงหนุนดีมานด์ซื้อ-เช่าเพิ่มรวมทั้งนักลงทุน
ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่าจากงานวิจัย บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด พบว่าตลาดอสังหาฯในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มีผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการจำนวนมากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โดยต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวโครงการ และอยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา, อมตะซิตี้ ชลบุรี อ.เมืองชลบุรีและอ.ศรีราชา - แหลมฉบัง จ.ชลบุรี รวม 9,495 หน่วย มูลค่า 35,000 ล้านบาท
จากผลการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อในทำเลนี้ เป็นทั้งกลุ่มนักลงทุนและพนักงานที่ทำงานอยู่ในย่านนิคมอุตสาหกรรม ที่มีรายได้เฉลี่ย 20,000 - 50,000 บาทต่อเดือนนอกจากนี้ยังพบว่าแต่ละปี มีแรงงานแฝงเข้ามาในนิคมฯ จ.ชลบุรี 100,000 คน โดยประมาณ 10% หรือ 10,000 คนอยู่ในนิคมฯ อมตะ
ขณะที่การซื้อเพื่อการลงทุนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5-6 % โดยค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500-9,000 บาทต่อหน่วย สำหรับห้องชุดขนาด 26 - 30 ตร.ม.โดยความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในทำเล EEC สูง อัตราการเช่าอพาร์ตเมนต์ และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ มีสัดส่วนเฉลี่ย 80-90% สะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัย จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะซื้อเพื่อการลงทุนและปล่อยเช่า
โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าวบริษัทจึงพัฒนาโครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. มูลค่า 2,124 ล้านบาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 25-30 ปีที่ต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการทั้งในเรื่องของการทำงาน และการใช้ชีวิต รวมถึงกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นลงทุนในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์ และรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาทำงานในนิคมฯ มีสัดส่วน50:50
โดยนำโมเดลการลงทุนของโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 มาให้บริการแก่นักลงทุนเป็นแพกเกจหาผู้เช่าพร้อมปล่อยเช่าในโครงการเอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. ใกล้นิคมอมตะซิตี้ บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ประกอบด้วย อาคารพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร, อาคารสูง 6 ชั้น 1 อาคาร โดยมีจำนวนรวม 1,810 ยูนิต ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ จำนวน 1,796 ยูนิต แบ่งเป็น แบบสตูดิโอ, 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพลัส ขนาดเริ่มต้น 24- 36ตร.ม. และพื้นที่ร้านค้า 14 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 1.1- 1.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,124 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 2567
“ในรอบ VVIP ที่ผ่านมามียอดขาย 100 ล้านบาท คาดว่า เฟสแรกที่พรีเซลล์เดือน ก.ย.นี้จะมียอดขาย 200-300 ล้านบาท”
นอกจากนี้ปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดโครงการที่ จ.อยุธยา พร้อมกับแตกแบรนด์ใหม่ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มนักศึกษา ในทำเลใกล้กับมหาวิทยาลัยเพื่อขยายฐานลูกค้า ที่ต้องการลงทุนปล่อยเช่า นอกเหนือจากทำเลในนิคมต่างๆทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มนักลงทุน เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ จึงไม่มีปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อเพียงแต่ว่าต้องพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพในการปล่อยเช่า
โอภาสกล่าวว่าปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขาย 13,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้แล้ว 7,000 ล้านบาท เกินกว่า 50% ของเป้าหมายทั้งปี
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 12 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการด้านยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ ตั้งเป้า 7,000 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. มียอดขายรอโอน (Backlog) 2,750 ล้านบาทมาจากโครงการคอนโด จำนวน 2,360 ล้านบาท คิดเป็น 85% และมาจากโครงการแนวราบ จำนวน 390 ล้านบาท คิดเป็น 15% ของยอดขายรอโอน ทั้งหมด ซึ่งจะทยอยรับรู้รายในปี 2566 และ 2567
“ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น หลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว โดยปัญหาเร่งด่วนที่น่าจะให้ความสำคัญในการแก้ไขก่อน คือ 1. การท่องเที่ยว ซึ่งทำได้ง่าย เร็ว และเห็นผลทันที 2. ภาคการส่งออก และ 3. ภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นเครื่องจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการต่างๆ น่าจะเริ่มเห็นตั้งแต่เดือน ต.ค. หรือ พ.ย.นี้เป็นต้นไป” โอภาส กล่าว
ที่มา:https://www.bangkokbiznews.com/property/1086407
วันที่ 1/09/2023