บทความ สาระน่ารู้ (Articles)

เมเจอร์ฯฉีกแนวเปิดรับสัตว์เลี้ยงExoticรายแรก

เมเจอร์ฯฉีกแนวเปิดรับสัตว์เลี้ยง Exotic รายแรกย้ำแนวคิดการเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่ ‘เทรนด์’ แต่คือ ‘ความตั้งใจ’รั้งตำแหน่งเบอร์หนึ่งคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้อนุญาตให้เลี้ยง “สัตว์เลี้ยงทางเลือก”เพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ในช่วง 2-3 ปี มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยจากข้อมูลของ TGM Research พบว่าคนทั่วโลกกว่า 58% นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว โดยเลี้ยงเพียง 1 ตัว คิดเป็น 46% แต่ที่น่าแปลกใจ คือ ประเทศไทยมีอัตราเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงกว่าค่าเฉลี่ยเทียบเป็น 73% และนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพียง 1 ตัวต่อครอบครัว เฉลี่ย 45% แต่กลับพบกว่าคนไทยนิยมเลี้ยงสัตว์ 2 ตัวต่อครอบครัวสูงถึง 23% และ 4 ตัวขึ้นไปถึง 24% เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยมีสัดส่วนคนเลี้ยงสัตว์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทั่วโลกทั้งในค่านิยมและปริมาณต่อครอบครัว ที่ผ่านมาเราได้ประกาศความตั้งใจที่มุ่งมั่นเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง โดยสร้างมาตรฐานใหม่ MAJOR Pet Family Residences เป็นแบรนด์แรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ได้รับการตอบรับจากลูกบ้าน ทั้งในส่วนของกลุ่มลูกบ้านเลี้ยงสัตว์ และลูกบ้านที่ไม่ได้เลี้ยง ซึ่งพบว่าสัดส่วนของลูกบ้านที่เลี้ยงสัตว์นั้น มีจำนวนที่มากขึ้นกว่าเมื่อปี 2022 เป็น 45% และในจำนวนดังกล่าวเป็นสัตว์เลี้ยงทางเลือก ที่ปรากฏเข้ามา ทางเมเจอร์ฯ จึงได้เล็งเห็นถึงความนิยมที่ขยายตัวของลูกบ้าน สอดคล้องกับเทรนด์การเลือกเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทางเลือกของคนไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงพร้อมที่จะขยายขอบเขตครอบครัวเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ สู่ “MAJOR Pet Family Residences : Exotic Pet” โดยนับว่าเราเป็น แบรนด์แรกและครั้งแรกของไทยที่อนุญาตให้เลี้ยง “สัตว์เลี้ยงทางเลือก” ได้อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งขยายขอบเขตการดำเนินการทั้งในส่วนการก่อสร้างโครงการ กิจกรรมลูกบ้าน รวมทั้งการบริการและการดูแลแบบครบวงจร เริ่มต้นในด้านการก่อสร้าง และการดีไซน์ฟังก์ชั่นของห้องชุดและพื้นที่ส่วนกลาง ตัวอย่างโครงการ เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว ที่ออกแบบโดยเน้นเรื่อง Craft & Quality ควบคู่กับฟังก์ชั่น Pet-Friendly ภายใต้การคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสุขลักษณะที่ดีของสัตว์เลี้ยงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Multi-Pet Playroom พื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงทางเลือกที่แยกส่วนอย่างชัดเจน โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มาร่วมเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้ เพื่อให้แบรนด์เข้าใจธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงกลุ่มนี้มากขึ้น โดยเราได้เตรียมดีไซน์ฟังก์ชั่น เพื่อรองรับพฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์เลี้ยงทางเลือกได้อย่างเหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะนำความสำเร็จของ Multi-Pet Playroom ขยายสู่โครงการอื่นๆ ภายใต้การพัฒนาของแบรนด์ในอนาคตมากยิ่งขึ้น

อ่านต่อ คลิก
เมเจอร์ฯฉีกแนวเปิดรับสัตว์เลี้ยงExoticรายแรก

เมเจอร์ฯฉีกแนวเปิดรับสัตว์เลี้ยง Exotic รายแรกย้ำแนวคิดการเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่ ‘เทรนด์’ แต่คือ ‘ความตั้งใจ’รั้งตำแหน่งเบอร์หนึ่งคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้อนุญาตให้เลี้ยง “สัตว์เลี้ยงทางเลือก”เพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ในช่วง 2-3 ปี มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยจากข้อมูลของ TGM Research พบว่าคนทั่วโลกกว่า 58% นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว โดยเลี้ยงเพียง 1 ตัว คิดเป็น 46% แต่ที่น่าแปลกใจ คือ ประเทศไทยมีอัตราเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงกว่าค่าเฉลี่ยเทียบเป็น 73% และนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพียง 1 ตัวต่อครอบครัว เฉลี่ย 45% แต่กลับพบกว่าคนไทยนิยมเลี้ยงสัตว์ 2 ตัวต่อครอบครัวสูงถึง 23% และ 4 ตัวขึ้นไปถึง 24% เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยมีสัดส่วนคนเลี้ยงสัตว์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับทั่วโลกทั้งในค่านิยมและปริมาณต่อครอบครัว ที่ผ่านมาเราได้ประกาศความตั้งใจที่มุ่งมั่นเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง โดยสร้างมาตรฐานใหม่ MAJOR Pet Family Residences เป็นแบรนด์แรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ได้รับการตอบรับจากลูกบ้าน ทั้งในส่วนของกลุ่มลูกบ้านเลี้ยงสัตว์ และลูกบ้านที่ไม่ได้เลี้ยง ซึ่งพบว่าสัดส่วนของลูกบ้านที่เลี้ยงสัตว์นั้น มีจำนวนที่มากขึ้นกว่าเมื่อปี 2022 เป็น 45% และในจำนวนดังกล่าวเป็นสัตว์เลี้ยงทางเลือก ที่ปรากฏเข้ามา ทางเมเจอร์ฯ จึงได้เล็งเห็นถึงความนิยมที่ขยายตัวของลูกบ้าน สอดคล้องกับเทรนด์การเลือกเลี้ยงสัตว์เลี้ยงทางเลือกของคนไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เราจึงพร้อมที่จะขยายขอบเขตครอบครัวเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ สู่ “MAJOR Pet Family Residences : Exotic Pet” โดยนับว่าเราเป็น แบรนด์แรกและครั้งแรกของไทยที่อนุญาตให้เลี้ยง “สัตว์เลี้ยงทางเลือก” ได้อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งขยายขอบเขตการดำเนินการทั้งในส่วนการก่อสร้างโครงการ กิจกรรมลูกบ้าน รวมทั้งการบริการและการดูแลแบบครบวงจร เริ่มต้นในด้านการก่อสร้าง และการดีไซน์ฟังก์ชั่นของห้องชุดและพื้นที่ส่วนกลาง ตัวอย่างโครงการ เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว ที่ออกแบบโดยเน้นเรื่อง Craft & Quality ควบคู่กับฟังก์ชั่น Pet-Friendly ภายใต้การคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสุขลักษณะที่ดีของสัตว์เลี้ยงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Multi-Pet Playroom พื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงทางเลือกที่แยกส่วนอย่างชัดเจน โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มาร่วมเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้ เพื่อให้แบรนด์เข้าใจธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงกลุ่มนี้มากขึ้น โดยเราได้เตรียมดีไซน์ฟังก์ชั่น เพื่อรองรับพฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์เลี้ยงทางเลือกได้อย่างเหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะนำความสำเร็จของ Multi-Pet Playroom ขยายสู่โครงการอื่นๆ ภายใต้การพัฒนาของแบรนด์ในอนาคตมากยิ่งขึ้น

อ่านต่อ คลิก
MQDC ปรับทัพรับเทรนด์อสังหาฯ ปี 2567 แต่งตั้ง “สุทธา เรืองชัยไพบูลย์” นั่งแท่น CEO

MQDC บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ปรับทัพผู้บริหารใหม่แต่งตั้ง นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เน้นย้ำการสร้างรายได้และการส่งมอบโครงการ Flagship “The Forestias”MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ปรับทัพผู้บริหารใหม่แต่งตั้ง นาย สุทธา เรืองชัยไพบูลย์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เน้นย้ำการสร้างรายได้และการส่งมอบโครงการ Flagship “The Forestias” ขณะที่นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ขยับขึ้นเป็นประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร  นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า ในปี 2567 นี้ MQDC พร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง ตั้งเป้ายอดขายและยอดโอนรวม 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันโครงการ Flagship อย่าง ‘อาณาจักรป่ากลางเมือง The Forestias’ โดยรวมมีความคืบหน้าไปกว่า 70% ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยเฟสแรกที่นำโดยแบรนด์คอนโดมิเนียม Whizdom นั้น ขณะนี้เสร็จพร้อมโอนและเข้าอยู่ ได้แก่ วิสซ์ดอม เดอะ ฟอร์เรสเทียส์ มายโทเปีย (Whizdom The Forestias Mytopia) วิสซ์ดอม เดอะ ฟอร์เรสเทียส์ เดสทิเนีย (Whizdom The ForestiasDestinia) ส่วนโครงการที่กำลังใกล้เสร็จสมบูรณ์และพร้อมโอนได้ในปีนี้ ได้แก่ วิสซ์ดอม เดอะ ฟอร์เรสเทียส์ เพทโทเปีย (Whizdom The Forestias Petopia) มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า (Mulberry Grove The Forestias Villas) ซึ่งเป็นคลัสเตอร์โฮม พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันของครอบครัวใหญ่ และ มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม (Mulberry Grove The Forestias Condominiums) รวมไปถึงที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยวัย 50+ หรือวัยอิสระ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์ (The Aspen Tree The Forestias) โครงการแบรนด์ระดับ โลกซิกส์เซนส์ (Six Senses) โครงการที่อยู่อาศัยหรูหราสไตล์ รีสอร์ทแห่งแรกของแบรนด์ Six Senses

อ่านต่อ คลิก
MQDC ปรับทัพรับเทรนด์อสังหาฯ ปี 2567 แต่งตั้ง “สุทธา เรืองชัยไพบูลย์” นั่งแท่น CEO

MQDC บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ปรับทัพผู้บริหารใหม่แต่งตั้ง นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เน้นย้ำการสร้างรายได้และการส่งมอบโครงการ Flagship “The Forestias”MQDC (บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ปรับทัพผู้บริหารใหม่แต่งตั้ง นาย สุทธา เรืองชัยไพบูลย์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เน้นย้ำการสร้างรายได้และการส่งมอบโครงการ Flagship “The Forestias” ขณะที่นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ขยับขึ้นเป็นประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร  นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า ในปี 2567 นี้ MQDC พร้อมเดินหน้าเต็มกำลัง ตั้งเป้ายอดขายและยอดโอนรวม 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันโครงการ Flagship อย่าง ‘อาณาจักรป่ากลางเมือง The Forestias’ โดยรวมมีความคืบหน้าไปกว่า 70% ซึ่งโครงการที่อยู่อาศัยเฟสแรกที่นำโดยแบรนด์คอนโดมิเนียม Whizdom นั้น ขณะนี้เสร็จพร้อมโอนและเข้าอยู่ ได้แก่ วิสซ์ดอม เดอะ ฟอร์เรสเทียส์ มายโทเปีย (Whizdom The Forestias Mytopia) วิสซ์ดอม เดอะ ฟอร์เรสเทียส์ เดสทิเนีย (Whizdom The ForestiasDestinia) ส่วนโครงการที่กำลังใกล้เสร็จสมบูรณ์และพร้อมโอนได้ในปีนี้ ได้แก่ วิสซ์ดอม เดอะ ฟอร์เรสเทียส์ เพทโทเปีย (Whizdom The Forestias Petopia) มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ วิลล่า (Mulberry Grove The Forestias Villas) ซึ่งเป็นคลัสเตอร์โฮม พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันของครอบครัวใหญ่ และ มัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คอนโดมิเนียม (Mulberry Grove The Forestias Condominiums) รวมไปถึงที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยวัย 50+ หรือวัยอิสระ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์ (The Aspen Tree The Forestias) โครงการแบรนด์ระดับ โลกซิกส์เซนส์ (Six Senses) โครงการที่อยู่อาศัยหรูหราสไตล์ รีสอร์ทแห่งแรกของแบรนด์ Six Senses

อ่านต่อ คลิก
10 มิกซ์ยูสระดับโลก พลิกโฉมกทม. จุดหมายปลายทางนักลงทุนข้ามชาติ

JLL ฟันธง 10 มิกซ์ยูสระดับโลก พลิกโฉม กรุงเทพมหานคร (กทม.) จุดหมายปลายทางนักลงทุน และแรงงานมีฝีมือ ของต่างชาติในปี71 สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า กว่า300,000 ตารางเมตรตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการปรับตัวอย่างชัดเจนในช่วง 12 เดือนข้างหน้านี้ ผ่านการผลักดันนโยบายภายในประเทศและการสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดในประเทศ เพื่อตอบรับต่อสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลกที่ยังมีความผันผวนในปัจจุบัน สถิติที่สำคัญในปี 2566 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย รวมถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 66% เมื่อเปรียบเทียบปีต่อปีในด้านปริมาณการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 152% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งเกินกว่าเป้าหมายของรัฐบาล นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นเสมอมา โดยความมุ่งมั่นของผู้กำหนดนโยบายในการยกระดับกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ ให้มีคุณภาพสูง จะกลายเป็นแรงผลักดันสู่การเติบโตที่สำคัญ และยังเป็นสิ่งที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้นทุนที่สูง และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ตลอดปี 2567 JLL คาดการณ์ว่าปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย จะประกอบด้วย 4 ปัจจัย ดังนี้ ยุคแห่งเมกะโปรเจ็กต์ ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับอิทธิพลจากการปรับปรุงเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพของอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ มากขึ้น โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จากโครงการพัฒนามิกซ์ยูสระดับโลกมากถึง 10 โครงการ การพัฒนาโครงการเหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า มากกว่า 300,000 ตารางเมตร คอนโดมิเนียมระดับหรู 5,400 ยูนิต และโรงแรมหรู 5,900 ห้องในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ ภายในปี 2571 ซึ่งการเกิดขึ้นของโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเหล่านี้ จะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน บริษัทข้ามชาติ (MNCs) และแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ อาคารเก่ากับความท้าทาย พื้นที่สำนักงานกว่า 60% ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีอายุมากกว่า 20 ปี อุปทานระดับพรีเมียมที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดจึงนับเป็นความท้าทายต่อความสามารถในการแข่งขันของอาคารเก่าเหล่านี้ เจ้าของอาคารสำนักงานที่มีกลยุทธ์ในการลงทุนและมีการบริหารอาคารอย่างสร้างสรรค์ นำมาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน และโดดเด่นกว่าผู้แข่งขันเจ้าอื่นในตลาด ดังนั้นการวางแผนการลงทุนปรับปรุงอาคารเชิงกลยุทธ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด จากข้อมูลของ JLL แสดงให้เห็นว่า อาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปีในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและได้รับการปรับปรุงอาคารครั้งใหญ่ สามารถรักษาระดับค่าเช่าไว้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดได้ ในขณะที่อาคารสำนักงานที่ไม่มีการปรับปรุงและคงสภาพเดิมไว้ ยังคงเห็นการย้ายออกของผู้เช่า รวมถึงการปรับลดค่าเช่าอย่างต่อเนื่องส่วนต่างค่าเช่าของอาคาร ทั้งสองกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นถึง 8.8% ณ ไตรมาส 4 ปี 2566 แนวโน้มดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตลาดสำนักงานเท่านั้น เนื่องจากกระแส Flight-to-quality และ Flight-to-green ก็เริ่มปรากฏให้เห็นในตลาดศูนย์การค้าและคลังสินค้าโลจิสติกส์มากขึ้น โดยมีศักยภาพในการขยายไปสู่ภาคธุรกิจโรงแรมและที่อยู่อาศัยต่อไป บูรณาการแนวคิด ESG แนวคิด ESG กลายเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ โดยนักพัฒนาโครงการและนักลงทุนต่างมุ่งมั่นปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานผ่านการรับรองต่าง ๆ เช่น LEED และ WELL สำหรับบริษัทข้ามชาติซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์ที่สำคัญของพื้นที่สำนักงานและพื้นที่โลจิสติกส์ มักถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะพื้นที่สำนักงานที่ได้รับการรับรองด้าน ESG โดยฐานข้อมูลของ JL Lระบุว่าการเช่าพื้นที่สำนักงานใหม่กว่า 90% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นในอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถเรียกค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงกว่าอาคารระดับเดียวกันถึง 14% จึงก่อให้เกิดแรงกดดันมากยิ่งขึ้นต่ออาคารเก่าที่ยังไม่ได้รับรองตามมาตรฐาน ESG การลงทุนจากต่างประเทศพรึ่บ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่หลั่งไหลเข้าในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 พื้นที่สำนักงานกว่า 65% เป็นการเช่าพื้นที่โดยบริษัทข้ามชาติ นอกจากนี้ชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมที่มีการซื้อขายในกรุงเทพฯ ในปีผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยกำลังพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ ด้านโรงแรม บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จํากัด (JLL) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การซื้อขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า มากกว่า 47% มาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดึงดูดการลงทุนที่แข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและพื้นฐานอันแข็งแกร่งต่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเรา โดยหากรูปแบบการครอบครองอสังหาฯ ของชาวต่างชาติในเมืองไทยมีการพัฒนามากขึ้น จะยิ่งเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและบริการมากยิ่งขึ้น นายอนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่เพียงแค่ยังรักษาเสถียรภาพได้เท่านั้นแต่ยังพร้อมพัฒนาต่อยอดในสินทรัพย์หลากหลายประเภทซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาสำหรับทำเลย่านศูนย์กลางเมือง ของกทม.!!!

อ่านต่อ คลิก
10 มิกซ์ยูสระดับโลก พลิกโฉมกทม. จุดหมายปลายทางนักลงทุนข้ามชาติ

JLL ฟันธง 10 มิกซ์ยูสระดับโลก พลิกโฉม กรุงเทพมหานคร (กทม.) จุดหมายปลายทางนักลงทุน และแรงงานมีฝีมือ ของต่างชาติในปี71 สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า กว่า300,000 ตารางเมตรตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการปรับตัวอย่างชัดเจนในช่วง 12 เดือนข้างหน้านี้ ผ่านการผลักดันนโยบายภายในประเทศและการสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดในประเทศ เพื่อตอบรับต่อสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคทั่วโลกที่ยังมีความผันผวนในปัจจุบัน สถิติที่สำคัญในปี 2566 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย รวมถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 66% เมื่อเปรียบเทียบปีต่อปีในด้านปริมาณการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 152% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งเกินกว่าเป้าหมายของรัฐบาล นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นเสมอมา โดยความมุ่งมั่นของผู้กำหนดนโยบายในการยกระดับกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ ให้มีคุณภาพสูง จะกลายเป็นแรงผลักดันสู่การเติบโตที่สำคัญ และยังเป็นสิ่งที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้นทุนที่สูง และปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ตลอดปี 2567 JLL คาดการณ์ว่าปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย จะประกอบด้วย 4 ปัจจัย ดังนี้ ยุคแห่งเมกะโปรเจ็กต์ ในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับอิทธิพลจากการปรับปรุงเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและคุณภาพของอสังหาริมทรัพย์เกรด A ในกรุงเทพฯ มากขึ้น โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯกำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จากโครงการพัฒนามิกซ์ยูสระดับโลกมากถึง 10 โครงการ การพัฒนาโครงการเหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่สำนักงานเกรด A มากกว่า 900,000 ตารางเมตร ศูนย์การค้า มากกว่า 300,000 ตารางเมตร คอนโดมิเนียมระดับหรู 5,400 ยูนิต และโรงแรมหรู 5,900 ห้องในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ ภายในปี 2571 ซึ่งการเกิดขึ้นของโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมเหล่านี้ จะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน บริษัทข้ามชาติ (MNCs) และแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ อาคารเก่ากับความท้าทาย พื้นที่สำนักงานกว่า 60% ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีอายุมากกว่า 20 ปี อุปทานระดับพรีเมียมที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดจึงนับเป็นความท้าทายต่อความสามารถในการแข่งขันของอาคารเก่าเหล่านี้ เจ้าของอาคารสำนักงานที่มีกลยุทธ์ในการลงทุนและมีการบริหารอาคารอย่างสร้างสรรค์ นำมาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน และโดดเด่นกว่าผู้แข่งขันเจ้าอื่นในตลาด ดังนั้นการวางแผนการลงทุนปรับปรุงอาคารเชิงกลยุทธ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด จากข้อมูลของ JLL แสดงให้เห็นว่า อาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุมากกว่า 10 ปีในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและได้รับการปรับปรุงอาคารครั้งใหญ่ สามารถรักษาระดับค่าเช่าไว้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดได้ ในขณะที่อาคารสำนักงานที่ไม่มีการปรับปรุงและคงสภาพเดิมไว้ ยังคงเห็นการย้ายออกของผู้เช่า รวมถึงการปรับลดค่าเช่าอย่างต่อเนื่องส่วนต่างค่าเช่าของอาคาร ทั้งสองกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นถึง 8.8% ณ ไตรมาส 4 ปี 2566 แนวโน้มดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตลาดสำนักงานเท่านั้น เนื่องจากกระแส Flight-to-quality และ Flight-to-green ก็เริ่มปรากฏให้เห็นในตลาดศูนย์การค้าและคลังสินค้าโลจิสติกส์มากขึ้น โดยมีศักยภาพในการขยายไปสู่ภาคธุรกิจโรงแรมและที่อยู่อาศัยต่อไป บูรณาการแนวคิด ESG แนวคิด ESG กลายเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ โดยนักพัฒนาโครงการและนักลงทุนต่างมุ่งมั่นปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานผ่านการรับรองต่าง ๆ เช่น LEED และ WELL สำหรับบริษัทข้ามชาติซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์ที่สำคัญของพื้นที่สำนักงานและพื้นที่โลจิสติกส์ มักถูกกำหนดให้ใช้เฉพาะพื้นที่สำนักงานที่ได้รับการรับรองด้าน ESG โดยฐานข้อมูลของ JL Lระบุว่าการเช่าพื้นที่สำนักงานใหม่กว่า 90% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นในอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถเรียกค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงกว่าอาคารระดับเดียวกันถึง 14% จึงก่อให้เกิดแรงกดดันมากยิ่งขึ้นต่ออาคารเก่าที่ยังไม่ได้รับรองตามมาตรฐาน ESG การลงทุนจากต่างประเทศพรึ่บ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่หลั่งไหลเข้าในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2566 พื้นที่สำนักงานกว่า 65% เป็นการเช่าพื้นที่โดยบริษัทข้ามชาติ นอกจากนี้ชาวต่างชาติตัดสินใจซื้อไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมที่มีการซื้อขายในกรุงเทพฯ ในปีผ่านมา ในขณะที่ประเทศไทยกำลังพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ ด้านโรงแรม บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ จํากัด (JLL) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การซื้อขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า มากกว่า 47% มาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดึงดูดการลงทุนที่แข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและพื้นฐานอันแข็งแกร่งต่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของเรา โดยหากรูปแบบการครอบครองอสังหาฯ ของชาวต่างชาติในเมืองไทยมีการพัฒนามากขึ้น จะยิ่งเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและบริการมากยิ่งขึ้น นายอนาวิล เจียมประเสริฐ หัวหน้าแผนกบริการงานวิจัยและให้คำปรึกษา บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) กล่าวว่า เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่เพียงแค่ยังรักษาเสถียรภาพได้เท่านั้นแต่ยังพร้อมพัฒนาต่อยอดในสินทรัพย์หลากหลายประเภทซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาสำหรับทำเลย่านศูนย์กลางเมือง ของกทม.!!!

อ่านต่อ คลิก
รองปธ.ศาลปกครองสูงสุด แนะ “คดีแอชตันอโศก” เร่งหาทางออกใน 3 เดือน

“รองประธานศาลปกครองสูงสุด”แนะ คดีถอนใบอนุญาตก่อสร้าง “คอนโดแอชตันอโศก” เหลือเวลา 3 เดือนหาทางออก หากไม่คืบ กทม.อาจต้องสั่งรื้อตึกในส่วนของอาคารที่สูงเกินกว่าความกว้างถนนให้แล้วเสร็จใน 90 วันวันนี้ (6 มี.ค. 67) นายประวิตร บุญเทียม ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่นในชั้นปกครองสูงสุด ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งรองประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงปัญหาการบังคับ “คดีแอชตันอโศก” ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ว่า คดีนี้ศาลสั่งให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างตึกแอชตันอโศก เนื่องจากเห็นว่า เป็นการออกใบอนุญาตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การบังคับคดี เป็นเรื่องที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะต้องไปดำเนินการตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ศาลไม่ได้สั่งว่าจะต้องรื้อ หรือ จะบังคับคดีเป็นอื่นใด “ฉะนั้นอีกประมาณ 3 เดือนต่อจากนี้ จะครบกำหนดตามคำพิพากษา ที่ให้ กทม. บริษัท อนันดา เอฟเอ็ม เอเชีย อโศก จำกัด และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคารภายใน 180 วัน

อ่านต่อ คลิก
รองปธ.ศาลปกครองสูงสุด แนะ “คดีแอชตันอโศก” เร่งหาทางออกใน 3 เดือน

“รองประธานศาลปกครองสูงสุด”แนะ คดีถอนใบอนุญาตก่อสร้าง “คอนโดแอชตันอโศก” เหลือเวลา 3 เดือนหาทางออก หากไม่คืบ กทม.อาจต้องสั่งรื้อตึกในส่วนของอาคารที่สูงเกินกว่าความกว้างถนนให้แล้วเสร็จใน 90 วันวันนี้ (6 มี.ค. 67) นายประวิตร บุญเทียม ประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่นในชั้นปกครองสูงสุด ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งรองประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงปัญหาการบังคับ “คดีแอชตันอโศก” ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ว่า คดีนี้ศาลสั่งให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างตึกแอชตันอโศก เนื่องจากเห็นว่า เป็นการออกใบอนุญาตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การบังคับคดี เป็นเรื่องที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะต้องไปดำเนินการตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ศาลไม่ได้สั่งว่าจะต้องรื้อ หรือ จะบังคับคดีเป็นอื่นใด “ฉะนั้นอีกประมาณ 3 เดือนต่อจากนี้ จะครบกำหนดตามคำพิพากษา ที่ให้ กทม. บริษัท อนันดา เอฟเอ็ม เอเชีย อโศก จำกัด และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคารภายใน 180 วัน

อ่านต่อ คลิก
5ปัจจัยในการเลือกซื้อคอนโดปล่อยเช่า

“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” แนะ 5 ปัจจัยในการเลือกซื้อคอนโดปล่อยเช่าตอบโจทย์พฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่นิยมเช่ามากกว่าซื้อประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือแอล ดับเบิลยู เอสกล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ว่า จากผลการสำรวจพฤติกรรมการอยู่อาศัยในอาคารชุดพักอาศัยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของทีมวิจัยด้านงานบริการ (Service Design Center: SDC) ของแอล ดับเบิลยู เอส พบกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y & Gen Z (First Jobber) ในปัจจุบันมีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าการซื้อโดยผลการสำรวจพบว่า คนในกลุ่มนี้มีสัดส่วนเป็นผู้เช่ากว่า 50% และมีกำลังจ่ายค่าเช่าเฉลี่ย 6,000-10,000 บาท/เดือน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,000-40,000 บาท เนื่องจากคนในกลุ่มนี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิต ที่มีแนวโน้มอยู่คนเดียวมากขึ้น และชอบที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกสบาย ใช้เทคโนโลยี่ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบผสมผสาน(Hybrid Work) มีความยืดหยุ่น(Flexible) ในการทำงานและการใช้ชีวิต ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการภาระค่าใช้จ่ายที่สูง ที่จะกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน การเช่าจึงตอบโจทย์มากกว่าการซื้อที่อยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีระดับราคาที่สูงขึ้นตามภาวะของราคาที่ดิน และต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น จากรายงานการวิจัยของ แอล ดับเบิลยู เอส พบว่า ราคาที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2566 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.49 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 24% จากราคาเฉลี่ยที่ 4.43 ล้านบาทต่อหน่วยในปี 2565 ราคาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้น สูงกว่าความสามารถในการซื้อของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ทำให้คนกลุ่มนี้เลือกที่จะเช่ามากกว่าที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ลงทุนซึ่งปัจจุบันมากกว่า 65% ของผู้ซื้อเพื่อการลงทุนเป็นกลุ่มคนใน Gen X และ Baby Boomer ในการเลือกซื้ออาคารชุดพักอาศัยเพื่อการลงทุนสร้างรายได้จากการเช่า ที่ให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 4-6% ขึ้นอยู่กับทำเล จากพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้เช่าที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้เช่าที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก สามารถตอบสนองกับความต้องการอยู่อาศัยเพียงลำพัง ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายและเทคโนโลยี่ การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัยสำหรับกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักลงทุนจึงควรจะคำนึงถึงความต้องการของผู้เช่า จากผลการสำรวจพฤติกรรมของผู้เช่าของ แอล ดับเบิลยู เอส พบว่า มี 5 ปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาและการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการปล่อยเช่าที่ตอบโจทย์กับกลุ่มผู้เช่า ดังต่อไปนี้ 1. ทำเลที่มีศักยภาพ เป็นปัจจัยแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาและประเมินให้ดีเพราะเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดมูลค่าของอาคารชุดควรเลือกลงทุนอาคารชุดในทำเลที่มีศักยภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่ม Gen Y & Gen Z โดยเฉพาะใกล้แนวรถไฟฟ้า และใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และจากการสำรวจของ แอล ดับเบิลยู เอส พบว่า พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยกว่า 90% พิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยจากความสะดวกในการเดินทางไป-กลับสถานที่ทำงาน/สถานศึกษา ไม่เกิน 5 กิโลเมตร หรือเดินทางไม่เกิน 20 นาที และกรณีเมื่อเช่าแล้ว จะเป็นการเช่าระยะยาวไม่เปลี่ยนที่อยู่อาศัย เนื่องจากความเคยชินในพื้นที่นั้นๆ  2. ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทบริหารอาคารมืออาชีพ ควรเลือกอาคารชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือเป็นที่รู้จักในตลาด และมีแนวคิดในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน รวมถึงการให้บริการหลังการขายต่างๆ ผ่านช่องทางเทคโนโลยี่และทีมงานบริษัทบริหารอาคารที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการดูแลรักษาพื้นที่ส่วนกลาง สามารถเพิ่มมูลค่า (Value Added) ในโครงการเป็นอย่างดี จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และทำให้ปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น   3. การพัฒนาห้องชุดแบบSMART LIVING มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในพื้นที่ส่วนกลาง จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญต่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย โดยมากกว่า 50% ต้องการอุปกรณ์ IoT ที่สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่พักได้ มีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ คือ CO -WORKING SPACE พร้อม WIFI รองรับการทำงานแบบ HYBRID WORK มีทั้งแบบนั่งคนเดียว และแบบกลุ่ม, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, ตู้บริการอัตโนมัติ และควรเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และช่วยดึงดูดกลุ่มผู้เช่ามากขึ้น พร้อมปรับราคาค่าเช่าให้สูงขึ้นได้  4. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ ควรเลือกใช้บริการกับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริการจัดการการเช่า หรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมืออาชีพให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การตลาด คัดกรองผู้เช่าที่มีศักยภาพได้ และปล่อยเช่าได้อย่างรวดเร็ว จากผลการสำรวจของแอล ดับเบิลยู เอส พบว่า 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าเรื่องการหาช่างซ่อมแซม/ติดตั้งอุปกรณ์เป็นเรื่องยุ่งยากของผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ถัดมา 44%คือ การขนย้ายสิ่งของ เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดและต้องการผู้ช่วยเหลือ ดังนั้นการมีผู้ช่วยมืออาชีพอำนวยความสะดวกดูแลประสานงานแทนนักลงทุนได้ ตั้งแต่วัน CHECK-IN จนถึงวัน CHECK-OUT เป็นอีกเรื่องที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม 5. บริการพิเศษสำหรับผู้เช่า นอกเหนือจากการตกแต่งและดูแลรักษาห้องปล่อยเช่าให้อยู่ในสภาพดีน่าอยู่แล้ว นักลงทุนควรจัดให้มีบริการพิเศษระหว่างการเช่า เช่น บริการแบบไม่มีค่าใช้จ่ายล้างแอร์ ทุก 6 เดือน มีแม่บ้านทำความสะอาด 1 ครั้งภายในระยะสัญญาเช่า 12 เดือน นอกจากได้ความพึงพอใจจากผู้เช่าแล้วยังเป็นการดูแลรักษาห้องได้อีกทาง เสนอสิ่งจูงใจในการต่ออายุสัญญาเช่า เช่น ส่วนลดค่าเช่าหรือที่จอดรถฟรี จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เช่าปัจจุบันต่ออายุสัญญาเช่าได้ หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการหาผู้เช่ารายใหม่ทุกปี “5 ปัจจัยที่กล่าวถึงเป็นทางเลือกสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดพักอาศัย ที่ทั้งผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้ซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุนต้องคำนึงถึง” จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่เราเรียกว่า Generation Rent เป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการเช่ามากกว่าซื้อ ดังนั้นการพัฒนาโครงการเพื่อขายให้นักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของทั้งผู้ลงทุนและผู้เช่า ที่มา:https://www.bangkokbiznews.com/property/1116023 ที่ 05/3/2024

อ่านต่อ คลิก
5ปัจจัยในการเลือกซื้อคอนโดปล่อยเช่า

“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” แนะ 5 ปัจจัยในการเลือกซื้อคอนโดปล่อยเช่าตอบโจทย์พฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่นิยมเช่ามากกว่าซื้อประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือแอล ดับเบิลยู เอสกล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ว่า จากผลการสำรวจพฤติกรรมการอยู่อาศัยในอาคารชุดพักอาศัยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาของทีมวิจัยด้านงานบริการ (Service Design Center: SDC) ของแอล ดับเบิลยู เอส พบกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y & Gen Z (First Jobber) ในปัจจุบันมีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยมากกว่าการซื้อโดยผลการสำรวจพบว่า คนในกลุ่มนี้มีสัดส่วนเป็นผู้เช่ากว่า 50% และมีกำลังจ่ายค่าเช่าเฉลี่ย 6,000-10,000 บาท/เดือน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,000-40,000 บาท เนื่องจากคนในกลุ่มนี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิต ที่มีแนวโน้มอยู่คนเดียวมากขึ้น และชอบที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกสบาย ใช้เทคโนโลยี่ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบผสมผสาน(Hybrid Work) มีความยืดหยุ่น(Flexible) ในการทำงานและการใช้ชีวิต ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการภาระค่าใช้จ่ายที่สูง ที่จะกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน การเช่าจึงตอบโจทย์มากกว่าการซื้อที่อยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีระดับราคาที่สูงขึ้นตามภาวะของราคาที่ดิน และต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น จากรายงานการวิจัยของ แอล ดับเบิลยู เอส พบว่า ราคาที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2566 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.49 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 24% จากราคาเฉลี่ยที่ 4.43 ล้านบาทต่อหน่วยในปี 2565 ราคาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้น สูงกว่าความสามารถในการซื้อของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ทำให้คนกลุ่มนี้เลือกที่จะเช่ามากกว่าที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ลงทุนซึ่งปัจจุบันมากกว่า 65% ของผู้ซื้อเพื่อการลงทุนเป็นกลุ่มคนใน Gen X และ Baby Boomer ในการเลือกซื้ออาคารชุดพักอาศัยเพื่อการลงทุนสร้างรายได้จากการเช่า ที่ให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 4-6% ขึ้นอยู่กับทำเล จากพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้เช่าที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้เช่าที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก สามารถตอบสนองกับความต้องการอยู่อาศัยเพียงลำพัง ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายและเทคโนโลยี่ การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัยสำหรับกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักลงทุนจึงควรจะคำนึงถึงความต้องการของผู้เช่า จากผลการสำรวจพฤติกรรมของผู้เช่าของ แอล ดับเบิลยู เอส พบว่า มี 5 ปัจจัยสำคัญสำหรับการพัฒนาและการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการปล่อยเช่าที่ตอบโจทย์กับกลุ่มผู้เช่า ดังต่อไปนี้ 1. ทำเลที่มีศักยภาพ เป็นปัจจัยแรกที่นักลงทุนต้องพิจารณาและประเมินให้ดีเพราะเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดมูลค่าของอาคารชุดควรเลือกลงทุนอาคารชุดในทำเลที่มีศักยภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่ม Gen Y & Gen Z โดยเฉพาะใกล้แนวรถไฟฟ้า และใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และจากการสำรวจของ แอล ดับเบิลยู เอส พบว่า พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยกว่า 90% พิจารณาเลือกที่อยู่อาศัยจากความสะดวกในการเดินทางไป-กลับสถานที่ทำงาน/สถานศึกษา ไม่เกิน 5 กิโลเมตร หรือเดินทางไม่เกิน 20 นาที และกรณีเมื่อเช่าแล้ว จะเป็นการเช่าระยะยาวไม่เปลี่ยนที่อยู่อาศัย เนื่องจากความเคยชินในพื้นที่นั้นๆ  2. ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทบริหารอาคารมืออาชีพ ควรเลือกอาคารชุดของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือเป็นที่รู้จักในตลาด และมีแนวคิดในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน รวมถึงการให้บริการหลังการขายต่างๆ ผ่านช่องทางเทคโนโลยี่และทีมงานบริษัทบริหารอาคารที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการดูแลรักษาพื้นที่ส่วนกลาง สามารถเพิ่มมูลค่า (Value Added) ในโครงการเป็นอย่างดี จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และทำให้ปล่อยเช่าได้ง่ายขึ้น   3. การพัฒนาห้องชุดแบบSMART LIVING มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันในพื้นที่ส่วนกลาง จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญต่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย โดยมากกว่า 50% ต้องการอุปกรณ์ IoT ที่สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่พักได้ มีพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ คือ CO -WORKING SPACE พร้อม WIFI รองรับการทำงานแบบ HYBRID WORK มีทั้งแบบนั่งคนเดียว และแบบกลุ่ม, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, ตู้บริการอัตโนมัติ และควรเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และช่วยดึงดูดกลุ่มผู้เช่ามากขึ้น พร้อมปรับราคาค่าเช่าให้สูงขึ้นได้  4. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ ควรเลือกใช้บริการกับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริการจัดการการเช่า หรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมืออาชีพให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การตลาด คัดกรองผู้เช่าที่มีศักยภาพได้ และปล่อยเช่าได้อย่างรวดเร็ว จากผลการสำรวจของแอล ดับเบิลยู เอส พบว่า 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามคิดว่าเรื่องการหาช่างซ่อมแซม/ติดตั้งอุปกรณ์เป็นเรื่องยุ่งยากของผู้อยู่อาศัยในอาคารชุด ถัดมา 44%คือ การขนย้ายสิ่งของ เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดและต้องการผู้ช่วยเหลือ ดังนั้นการมีผู้ช่วยมืออาชีพอำนวยความสะดวกดูแลประสานงานแทนนักลงทุนได้ ตั้งแต่วัน CHECK-IN จนถึงวัน CHECK-OUT เป็นอีกเรื่องที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม 5. บริการพิเศษสำหรับผู้เช่า นอกเหนือจากการตกแต่งและดูแลรักษาห้องปล่อยเช่าให้อยู่ในสภาพดีน่าอยู่แล้ว นักลงทุนควรจัดให้มีบริการพิเศษระหว่างการเช่า เช่น บริการแบบไม่มีค่าใช้จ่ายล้างแอร์ ทุก 6 เดือน มีแม่บ้านทำความสะอาด 1 ครั้งภายในระยะสัญญาเช่า 12 เดือน นอกจากได้ความพึงพอใจจากผู้เช่าแล้วยังเป็นการดูแลรักษาห้องได้อีกทาง เสนอสิ่งจูงใจในการต่ออายุสัญญาเช่า เช่น ส่วนลดค่าเช่าหรือที่จอดรถฟรี จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เช่าปัจจุบันต่ออายุสัญญาเช่าได้ หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายในการหาผู้เช่ารายใหม่ทุกปี “5 ปัจจัยที่กล่าวถึงเป็นทางเลือกสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดพักอาศัย ที่ทั้งผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้ซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุนต้องคำนึงถึง” จากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่เราเรียกว่า Generation Rent เป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการเช่ามากกว่าซื้อ ดังนั้นการพัฒนาโครงการเพื่อขายให้นักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า จึงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของทั้งผู้ลงทุนและผู้เช่า ที่มา:https://www.bangkokbiznews.com/property/1116023 ที่ 05/3/2024

อ่านต่อ คลิก
เปิดรายได้-กำไร 10บริษัทอสังหาปี66 แสนสิริคว้าแชมป์

พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ เปิดตัวเลขรายได้-กำไร10บริษัทอสังหาฯปี66 "แสนสิริ"รั้งแชมป์กำไรมากที่สุด6พันล้าน "เอพี"อันดับสองทั้งรายได้และกำไร ขณะที่"ศุภาลัย" เป็นอันดับ3รายได้3.1หมื่นล้านสุรเชษฐ์ กองชีพ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ กล่าวว่า ในปี 2566 ถือเป็นปีที่ท้าทายจากผลกระทบของโควิดที่ผ่านมาส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย ทั้งบ้านหรือคอนโดมิเนียม"ชะลอ" การตัดสินใจซื้อ ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินต่างๆเป็นความท้าทายของตลาดธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในการการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนในโครงการบ้านจัดสรร รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น เมื่อผลประกอบการออกมามีผู้ประกอบการบางรายที่มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี2565 โดยในปี2566 แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรมากที่สุดอยู่ที่ 6,060 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 42% อันดับสอง เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้และกำไรเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้ 38,399 ล้านบาทลดลงจากปี2565 ประมาณ 1% อันดับสามศุภาลัย มีกำไรและรายได้ปี2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาทลดลง 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาทลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 3. ศุภาลัย มีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 โดยรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาท ลดลงประมาณ 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาท ลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

อ่านต่อ คลิก
เปิดรายได้-กำไร 10บริษัทอสังหาปี66 แสนสิริคว้าแชมป์

พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ เปิดตัวเลขรายได้-กำไร10บริษัทอสังหาฯปี66 "แสนสิริ"รั้งแชมป์กำไรมากที่สุด6พันล้าน "เอพี"อันดับสองทั้งรายได้และกำไร ขณะที่"ศุภาลัย" เป็นอันดับ3รายได้3.1หมื่นล้านสุรเชษฐ์ กองชีพ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ กล่าวว่า ในปี 2566 ถือเป็นปีที่ท้าทายจากผลกระทบของโควิดที่ผ่านมาส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย ทั้งบ้านหรือคอนโดมิเนียม"ชะลอ" การตัดสินใจซื้อ ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินต่างๆเป็นความท้าทายของตลาดธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในการการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนในโครงการบ้านจัดสรร รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น เมื่อผลประกอบการออกมามีผู้ประกอบการบางรายที่มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี2565 โดยในปี2566 แสนสิริ เป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรมากที่สุดอยู่ที่ 6,060 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 42% อันดับสอง เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้และกำไรเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้ 38,399 ล้านบาทลดลงจากปี2565 ประมาณ 1% อันดับสามศุภาลัย มีกำไรและรายได้ปี2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาทลดลง 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาทลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า 3. ศุภาลัย มีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 โดยรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาท ลดลงประมาณ 10% และกำไรอยู่ที่ 5,989 ล้านบาท ลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

อ่านต่อ คลิก
LPN กางแผนบาลานซ์พอร์ตสินค้า-ลงทุน เป้าปี 67 ระบายสต๊อกพร้อมอยู่ 1,800 ยูนิต

“แอล.พี.เอ็น.” เดินหน้าสร้างสมดุลการบริหารพอร์ตสินค้าบ้าน-คอนโดฯ และการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ลุยสร้างธุรกิจใหม่เพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร พร้อมเร่งระบายสต๊อกสินค้าพร้อมอยู่สะสมกว่า 11,000 ล้านบาท วางเป้าปีนี้ระบายออก 1,800 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,500-5,000 ล้านบาท คาด 3 ปีขายหมด เผยปี 67 เปิดตัว 6 โครงการใหม่ แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 5 โครงการ คอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท วางเป้ายอดขายทั้งปี 11,000 ล้านบาทโตจากปีก่อน 10%นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวถึงแนวทางการบริหารบริษัทภายหลังจากการเข้ามารับตำแหน่ง ว่า แอล.พี.เอ็น.เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจอย่างครบวงจร (Self-fulfillment) โดยมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสร้างรายได้ ทั้งบริษัทบริหารจัดการโครงการอย่างบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทที่ให้บริการด้านงานวิศวกรรมอย่าง บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) และบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยอย่างบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งแต่ละบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา “ในฐานะ CEO มีหน้าที่ในการมองไปข้างหน้า และมองหาธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาว นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว ด้วยการทำงานที่สอดประสานกันในทุกภาคส่วน” นายอภิชาติ กล่าวและว่า LPN มีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ ประกอบด้วย 1.Rebalance Portfolio การสร้างความสมดุลในการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการ งานบริการ ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนา นำจุดแข็งของแต่ละหน่วยธุรกิจมาเสริมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ กัน โดยในปีแรกจะเน้นการพัฒนาจุดแข็งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (5C) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงและเติมเต็มข้อจำกัดของแอล.พี.เอ็น. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด 2.โดยหลักๆ คือ การสร้างความสมดุลของ Portfolio ด้วยการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ซึ่ง ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าที่ขายแล้วรอโอน (Backlog) ในมือ 2,300 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา และการเพิ่มอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมให้หน่วยงาน รวมถึงเครือข่ายการขายของบริษัทเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการใหม่ 4,500-5,000ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% และเป็นยอดขายจากสต๊อกบ้านและคอนโดฯ สร้างเสร็จแล้ว 4,500-5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ในมือกว่า 4,000-5,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 70% และ 30% เป็นบ้านแนวราบ “สต๊อกสร้างเสร็จที่มีอายุมากที่สุด 6-7 ปี คือ โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ กว่า 700 ยูนิต ปัจจุบันเหลือขายกว่า 500 ยูนิต โดยจะใช้กลยุทธ์การลดราคาเป็นหลัก ด้วยการยอมลดอัตรากำไรขั้นต้นที่เดิมทำได้เฉลี่ย 22% ให้เหลือ 20% ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย ค่าส่วนกลาง และค่าซ่อมแซม ซึ่งตามเป้าหมายปีนี้คาดหวังจะระบายให้ได้กว่า 1,800 ยูนิต หรือราว 4,500-5,000 ล้านบาท ส่วนสต๊อกคอนโดฯ ในโครงการลุมพินีทาวน์ชิป ปัจจุบันมียูนิตเหลือขาเพียง 10% เท่านั้น” 2.Rebalance Resource การสร้างสมดุลโดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาจัดสรร และสร้างมูลค่าให้องค์กรด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละส่วนงานมาสนับสนุนการบริหารงานและการจัดการของแอล.พี.เอ็น. ให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเป็นแนวทางของการพัฒนาองค์กรในระยะยาว 3.Rebalance Stakeholders’ Wealth ภายใต้แนวทางการบริหารในการสร้างความสมดุลทั้งสองมิติแรก จะนำไปสู่การสร้างสมดุลในการให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตด้วยการนำบริษัทในเครือที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเฉพาะบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) โดยคาดว่าจะนำแอล พี พี เข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ซึ่งเป็นการแยกธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอสังหาฯ ที่จะช่วยให้ แอล.พี.เอ็น. รับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจบริการกว่า 40% และยังเป็นการส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 66 แอล พี พีมีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 139 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตทางรายได้กว่า 80% และการเติบโตทางกำไรสุทธิกว่า 23% ภายใน 3 ปี ที่มา:https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000016394 ที่ 23/2/2024

อ่านต่อ คลิก
LPN กางแผนบาลานซ์พอร์ตสินค้า-ลงทุน เป้าปี 67 ระบายสต๊อกพร้อมอยู่ 1,800 ยูนิต

“แอล.พี.เอ็น.” เดินหน้าสร้างสมดุลการบริหารพอร์ตสินค้าบ้าน-คอนโดฯ และการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ลุยสร้างธุรกิจใหม่เพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร พร้อมเร่งระบายสต๊อกสินค้าพร้อมอยู่สะสมกว่า 11,000 ล้านบาท วางเป้าปีนี้ระบายออก 1,800 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,500-5,000 ล้านบาท คาด 3 ปีขายหมด เผยปี 67 เปิดตัว 6 โครงการใหม่ แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 5 โครงการ คอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่ารวม 6,500 ล้านบาท วางเป้ายอดขายทั้งปี 11,000 ล้านบาทโตจากปีก่อน 10%นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวถึงแนวทางการบริหารบริษัทภายหลังจากการเข้ามารับตำแหน่ง ว่า แอล.พี.เอ็น.เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจอย่างครบวงจร (Self-fulfillment) โดยมีบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และสร้างรายได้ ทั้งบริษัทบริหารจัดการโครงการอย่างบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทที่ให้บริการด้านงานวิศวกรรมอย่าง บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) และบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยอย่างบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งแต่ละบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา “ในฐานะ CEO มีหน้าที่ในการมองไปข้างหน้า และมองหาธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาว นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้ธุรกิจในระยะยาว ด้วยการทำงานที่สอดประสานกันในทุกภาคส่วน” นายอภิชาติ กล่าวและว่า LPN มีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ ประกอบด้วย 1.Rebalance Portfolio การสร้างความสมดุลในการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการ งานบริการ ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนา นำจุดแข็งของแต่ละหน่วยธุรกิจมาเสริมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ กัน โดยในปีแรกจะเน้นการพัฒนาจุดแข็งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (5C) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงและเติมเต็มข้อจำกัดของแอล.พี.เอ็น. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด 2.โดยหลักๆ คือ การสร้างความสมดุลของ Portfolio ด้วยการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ซึ่ง ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าที่ขายแล้วรอโอน (Backlog) ในมือ 2,300 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา และการเพิ่มอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมให้หน่วยงาน รวมถึงเครือข่ายการขายของบริษัทเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการใหม่ 4,500-5,000ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% และเป็นยอดขายจากสต๊อกบ้านและคอนโดฯ สร้างเสร็จแล้ว 4,500-5,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ในมือกว่า 4,000-5,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 70% และ 30% เป็นบ้านแนวราบ “สต๊อกสร้างเสร็จที่มีอายุมากที่สุด 6-7 ปี คือ โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ กว่า 700 ยูนิต ปัจจุบันเหลือขายกว่า 500 ยูนิต โดยจะใช้กลยุทธ์การลดราคาเป็นหลัก ด้วยการยอมลดอัตรากำไรขั้นต้นที่เดิมทำได้เฉลี่ย 22% ให้เหลือ 20% ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย ค่าส่วนกลาง และค่าซ่อมแซม ซึ่งตามเป้าหมายปีนี้คาดหวังจะระบายให้ได้กว่า 1,800 ยูนิต หรือราว 4,500-5,000 ล้านบาท ส่วนสต๊อกคอนโดฯ ในโครงการลุมพินีทาวน์ชิป ปัจจุบันมียูนิตเหลือขาเพียง 10% เท่านั้น” 2.Rebalance Resource การสร้างสมดุลโดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาจัดสรร และสร้างมูลค่าให้องค์กรด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละส่วนงานมาสนับสนุนการบริหารงานและการจัดการของแอล.พี.เอ็น. ให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเป็นแนวทางของการพัฒนาองค์กรในระยะยาว 3.Rebalance Stakeholders’ Wealth ภายใต้แนวทางการบริหารในการสร้างความสมดุลทั้งสองมิติแรก จะนำไปสู่การสร้างสมดุลในการให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตด้วยการนำบริษัทในเครือที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเฉพาะบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) โดยคาดว่าจะนำแอล พี พี เข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ ซึ่งเป็นการแยกธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอสังหาฯ ที่จะช่วยให้ แอล.พี.เอ็น. รับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจบริการกว่า 40% และยังเป็นการส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 66 แอล พี พีมีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 139 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตทางรายได้กว่า 80% และการเติบโตทางกำไรสุทธิกว่า 23% ภายใน 3 ปี ที่มา:https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000016394 ที่ 23/2/2024

อ่านต่อ คลิก
เอพี ไทยแลนด์ เขย่าวงการอสังหาฯ ปูพรม 48 โครงการใหม่ 5.8หมื่นล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ปูพรม 48 โครงการใหม่ 5.8หมื่นล้าน ขยายพอร์ตไปต่อทั่วไทยกว่า 200 โครงการ หลังประสบความสำเร็จปี66 กวาดยอดขาย 5.1หมื่นล้าน กำไร6,000 ล้านบาท ตอกย้ำฐานะการเงินแข็งแกร่ง ขยายพอร์ตที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม กระจายทั่วประเทศ 212โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย โต57,000 ล้านบาทท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอยขาดความเชื่อมั่นโดยมีตัวแปรมาจากหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงเป็นตัวฉุดรั้ง ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ ทุกค่ายต้องระมัดระวัง เช่นเดียวกับ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ยอมรับว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 ยังถือมีความท้าทายรออยู่อีกมาก และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปอย่างไม่สะดุดท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่ง ผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 เราสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.79 เท่า ถือเป็นเรื่องที่เอพีเราให้ความสำคัญอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา และถือเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นหนึ่งในทุกมิติ “ปีนี้ถือเป็นปีของตัวจริง บริษัทฯ ที่จะไปต่อได้จำเป็นต้องมีความพร้อมใน 5 มิตินี้ คือ 1) การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร ซึ่งเราเชื่อว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็งมีเสถียรภาพทางการเงิน และสภาพคล่องที่เพียงพอ 2) การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด 3) People – Structure – Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนต่อการทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง 4) การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และ5) ซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ” สานต่อความเป็นหนึ่ง นายวิทการ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทฯ พร้อมมุ่งสานต่อความเป็นหนึ่งภายใต้กลยุทธ์ EMPOWER TOGETHER โดยในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ตั้งเป้าหมายที่จะส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ เพื่อให้ ‘ทุกพื้นที่ในบ้านเอพี’ เติบโตไปพร้อมกับทุกคน โดยปี 2567 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ามีโครงการเอพีพร้อมขายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 212 โครงการ เพื่อครองภาพการเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ทั้งในด้านยอดขาย รายได้ และผลกำไร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 51,390 ล้านบาท ด้านรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม(100% JV) และธุรกิจอื่นๆ สูงถึง48,757 ล้านบาท และกำไรสุทธิมากถึง 6,054 ล้านบาท

อ่านต่อ คลิก
เอพี ไทยแลนด์ เขย่าวงการอสังหาฯ ปูพรม 48 โครงการใหม่ 5.8หมื่นล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ปูพรม 48 โครงการใหม่ 5.8หมื่นล้าน ขยายพอร์ตไปต่อทั่วไทยกว่า 200 โครงการ หลังประสบความสำเร็จปี66 กวาดยอดขาย 5.1หมื่นล้าน กำไร6,000 ล้านบาท ตอกย้ำฐานะการเงินแข็งแกร่ง ขยายพอร์ตที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม กระจายทั่วประเทศ 212โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย โต57,000 ล้านบาทท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ถดถอยขาดความเชื่อมั่นโดยมีตัวแปรมาจากหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงเป็นตัวฉุดรั้ง ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ ทุกค่ายต้องระมัดระวัง เช่นเดียวกับ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ยอมรับว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 67 ยังถือมีความท้าทายรออยู่อีกมาก และเชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่ไม่ได้ง่าย ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในภาพระบบเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนภาพความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย ดังนั้น การดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงต้องเป็นไปแบบระมัดระวัง และสิ่งที่สำคัญสุดที่จะทำให้องค์กรเดินไปอย่างไม่สะดุดท่ามกลางแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ คือ การรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้แข็งแกร่ง ผ่านความเข้มงวดในวินัยทางการเงิน เพื่อนำมาสู่สภาพคล่องทางการเงินที่คล่องตัวและมากเพียงพอที่จะสนับสนุนธุรกิจในระยะยาว ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 เราสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.79 เท่า ถือเป็นเรื่องที่เอพีเราให้ความสำคัญอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา และถือเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นหนึ่งในทุกมิติ “ปีนี้ถือเป็นปีของตัวจริง บริษัทฯ ที่จะไปต่อได้จำเป็นต้องมีความพร้อมใน 5 มิตินี้ คือ 1) การบริหารจัดการกระแสเงินสด ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือขององค์กร ซึ่งเราเชื่อว่าวันนี้เรามีความเข้มแข็งมีเสถียรภาพทางการเงิน และสภาพคล่องที่เพียงพอ 2) การกระจายพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ของตลาด 3) People – Structure – Process การบริหารจัดการคน โครงสร้างองค์กร และโพรเซสการทำงานที่แม่นยำ เพื่อสนับสนุนต่อการทำงานที่รวดเร็วทันทุกการเปลี่ยนแปลง 4) การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง และ5) ซัปพลาย เชน แมเนจเมนต์ ที่พร้อมสนับสนุนให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนการพัฒนาและส่งมอบโครงการ” สานต่อความเป็นหนึ่ง นายวิทการ กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทฯ พร้อมมุ่งสานต่อความเป็นหนึ่งภายใต้กลยุทธ์ EMPOWER TOGETHER โดยในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ตั้งเป้าหมายที่จะส่งมอบนวัตกรรมพื้นที่เพื่อชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ เพื่อให้ ‘ทุกพื้นที่ในบ้านเอพี’ เติบโตไปพร้อมกับทุกคน โดยปี 2567 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ามีโครงการเอพีพร้อมขายอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 212 โครงการ เพื่อครองภาพการเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ทั้งในด้านยอดขาย รายได้ และผลกำไร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 51,390 ล้านบาท ด้านรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม(100% JV) และธุรกิจอื่นๆ สูงถึง48,757 ล้านบาท และกำไรสุทธิมากถึง 6,054 ล้านบาท

อ่านต่อ คลิก